alopecia hair growth

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด ทฤษฏีจากแพทย์ เรื่องไขมันอิ่มตัวมีโทษ Dr. Dwight Lundell, M.D


ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด ทฤษฏีจากแพทย์ เรื่องไขมันอิ่มตัวมีโทษ   
Dr. Dwight Lundell, M.D
    เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี
    คุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้
     และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก Main stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี
   นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell    อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการ

แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง

ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว   ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว   แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป

ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด

สาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

   1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

   2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??

   3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

   4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

  5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี 
"hydrogenate" เช่น   น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา

  6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

  7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว   อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป   น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

  8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโป รโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า
ผ่านกรรมวิธี hydrogenate " เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ???

  9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชา กรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง  สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

  10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

  11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี 
"hydrogenate" ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

Dr. Dwight Lundell, M.D.



น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี น้ำมันพืชฯนี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) เมื่อผ่านกรรมวิธี กลั่น(refined) ฟอกสี(bleached) แต่งกลิ่น(deodozied) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้งไม่เหม็นหืนง่าย แต่ก็มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ชนิดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมี "



ขอบคุณข้อมูลจาก Web 

 http://en.wikipedia.org/wiki/Hydrogenation
 http://en.wikipedia.org/wiki/Trans_fat
 https://doclundell.wordpress.com/
 https://alteatequieroverde.wordpress.com
 http://www.vannaherb.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น